42 คน 15 สมาคม 1 เป้าหมาย! เจาะ 5 กีฬาความหวังไทยในโอลิมปิก - สยามกีฬา

นับตั้งแต่ พเยาว์ พูลธรัตน์ คว้าเหรียญทองแดง จากกีฬามวยสากในกีฬาโอลิมปิกเกมส์ เมื่อปี 1976 ที่แคนาดา ให้หลังจากนั้นอีก 9 ครั้งต่อมา นับตั้งแต่ปี 1984 จนถึง 2016 นักกีฬาไทยมีเหรียญรางวัลในโอลิมปิกเกมส์ติดมือตลอด

16 โอลิมปิกของไทย คว้ารวม 33 เหรียญรางวัล แบ่งเป็น 9 ทอง 8 เงิน 16 ทองแดง ซึ่งก็นับว่ามากกว่าบรรดาเพื่อนบ้านในอาเซียนทั้งหมด ซึ่งนั่นก็แสดงให้ถึงมาตรฐานที่ยอดเยี่ยมไม่มีตกของวงการกีฬาไทย

"โตเกียว 2020" คืออีกหนึ่งภารกิจสุดท้าทายของทัพนักกีฬาไทย โดยนอกจากจะต้องต่อสู้กับคู่แข่งในสนามแล้ว การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ไปทั่วโลก ยังส่งผลกระทบโดยตรงต่อการเตรียมทีม ทำให้ฝึกซ้อมได้ไม่เต็มที่เท่าที่ควร หลายคนร้างสนามแข่งขันไปนาน เพราะไม่มีอีเวนต์อย่างทางการในระดับนานาชาติให้ได้ลงเล่นเพื่อเตรียมความพร้อม

สำหรับโอลิมปิกเกมส์ ครั้งที่ 32 ซึ่งจะมีขึ้นระหว่าง 23 ก.ค. - 8 ส.ค. 2021 ที่กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น ทัพนักกีฬาไทย คว้าโควตาร่วมแข่งขันรวมเบ็ดเสร็จ 42 คน จาก 15 สมาคมกีฬา ประกอบด้วย กรีฑา, แบดมินตัน, มวยสากล, เรือพาย, จักรยาน, ขี่ม้า, กอล์ฟ, ยูโด, เรือใบ, วินด์เซิร์ฟ, ยิงปืน, ยิงเป้าบิน, ว่ายน้ำ, เทเบิลเทนนิส และเทควันโด

อาการบาดเจ็บเอ็นไขว้หัวเข่าฉีกขาดของ "เจ้าเหลิม" ธิติสรรณ์ ปั้นโหมด ก่อนเดินทางไปแข่งขันเพียง 4 วัน คือข่าวร้ายสุดของทัพไทย และก็ทำให้ "เจ้าเหลิม" ต้องเตรียมตัวขึ้นเขียงผ่าตัด พร้อมกับต้องพักไม่ต่ำกว่า 5 เดือน ซึ่งก็เป็นเหตุให้ "ธิติสรรณ์" จำเป็นต้องถอนตัวออกจากการแข่งขันไปโดยปริยาย "โตเกียว 2020" หนนี้จึงเหลือนักกีฬาไทยลุยศึกรวมทั้งสิ้น 41 ชีวิต

จำนวนดังกล่าว ถือว่าเทียบเท่ากับเมื่อปี 1976 ที่แคนาดา ซึ่งเราคว้า 1 ทองแดง จากมวยสากล และปี 2004 ที่กรีซ ที่เราคว้ารวม 3 ทอง 1 เงิน 4 ทองแดง แต่ยังน้อยกว่าการแข่งขันที่ "รีโอเกมส์" เมื่อปี 2016 อยู่ 12 คน

การระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ส่งผลกระทบโดยตรงกับโควตาที่ลดลงของนักกีฬาไทยในครั้งนี้ โดยมีนักกีฬาไทยหลายคนสูญเสียโอกาสในการเข้าร่วมศึกโตเกียว 2020 จากการที่หลายๆทัวร์นาเมนต์เก็บคะแนนสะสมประกาศยกเลิกการชิงชัย หรือกระทั่งตัวนักกีฬาไม่สามารถเดินทางไปร่วมแข่งขันได้ เนื่องจากความไม่ปลอดภัยจากสถานการณ์แพร่ระบาดขอโควิด-19

การที่ทัพยกน้ำหนักไทย ซึ่งถือเป็นทีมกีฬาอันดับ 1 ที่กวาดเหรียญรางวัลให้กับทัพไทยเสมอมาตลอด 16 ครั้ง โดยกวาดไปถึง 5 ทอง 2 เงิน 7 ทองแดง ถูกแบน ห้ามส่งนักกีฬาร่วมการแข่งขันจากกรณีสารต้องห้าม จนพลาดร่วมวงในโอลิมปิกเกมส์ ที่โตเกียว ทำให้โควตาโดยรวมของไทยหายไปอีก 6 ที่นั่งอย่างต่้ำ ที่สำคัญทำให้โอกาสคว้าเหรียญรางวัล โดยดเฉพาะเหรียญทองของเราถูกลดทอนตามลงไปด้วย

อย่างไรก็ตาม ไม่ได้แปลเราจะหมดโอกาสที่จะได้ยินเพลงชาติ รวมทั้งเห็นธงชาติไทยโบกสะบัดที่ "โตเกียวเกมส์" เพราะครั้งนี้ ยังมีนักกีฬาอีกหลายคน ที่พร้อมสู้สุดชีวิต เพื่อนำซึ่งชื่อเสียง ความสำเร็จ และความภาคภูมิใจกลับมาฝากแฟนกีฬาและประเทศไทย

"บิ๊กต้อม" ธนา ไชยประสิทธิ์ หัวหน้าคณะนักกีฬาไทย ชุดสู้ศึกโตเกียว 2020 เผยว่า หากวิเคราะห์จากโอกาสและความเป็นไปได้ ไทยมีลุ้นอย่างน้อยๆ 1 เหรียญทอง ซึ่ง เทควันโด, มวยสากลสมัครเล่น, ยิงเป้าบิน, แบดมินตัน และกอล์ฟ คือ 5 ชนิดกีฬา ที่มีลุ้นและใกล้เคียงกับการไปถึงความสำเร็จมากที่สุด

หัวหน้าคณะนักกีฬาไทย ยังแสดงความเชื่อมั่นว่าอย่างน้อยๆ ทัพไทยน่าจะมีเหรียญติดมือในศึกโตเกียว 2020 ส่วนจะได้มากหรือน้อยกว่านั้น ก็ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ในช่วงวันและเวลาแข่งขันจริงด้วย

1 เหรียญทอง ดูเป็นเป้าหมายที่ใกล้เคียงกับความจริงและก็ถือว่าเป็นไปได้ทีเดียว เพราะหากไล่เรียงดูรายชื่อของนักกีฬาที่เป็นความหวังของเราแล้ว หลายคนมีสิทธิ์ก้าวไปถึงความสำเร็จนั้น

เต็ง 1 ที่หลายๆคนคาดการณ์ว่าน่าจะทำได้สำเร็จ ก็คือ "เทนนิส" พาณิภัค วงศ์พัฒนกิจ ในกีฬาเทควันโด รุ่น 49 กก.หญิง ซึ่งกวาดมาหมดแล้วทุกแชมป์ ขาดเพียงเหรียญทองโอลิมปิก โดย "จูเนียร์" รามณรงค์ เสวกวิหารี ก็เป็นอีกหนึ่งจอมเตะที่พร้อมสร้างเซอร์ไพรส์เหมือนกับที่ "เทม" เทวินทร์ หาญปราบ ซึ่งกลายเป็นม้ามืด เคยก้าวไปคว้าเหรียญเงินในรุ่น 58 กก. เมื่อปี 2016 มาแล้ว

ด้านมวยสากล ความหวังสูงสุดฝากไว้ที่พี่ใหญ่ "เจ้าสด" ฉัตร์ชัยเดชา บุตรดี ในวัย 36 นี่คือโอลิมปิกเกมส์ครั้งที่ 3 และเป็นครั้งสุดท้ายในชีวิต หากชีวิตเป็นดั่งบทละคร "เจ้าสด" ที่เพรียบพร้อมด้วยประสบการณ์และฝีมือ รวมถึงปูมหลังสุดดราม่า ก็ควรจะได้สมหวังในโอลิมปิกครั้งสุดท้ายของตัวเอง เหมือนที่รุ่นพี่ สมจิตร จงจอหอ เคยพยายามและทำได้มาแล้วเมื่อปี 2008

เช่นกันกับ สุธิยา จิวเฉลิมมิตร เธอคือตำนานของวงการกีฬายิงเป้าบินไทยไปแล้ว และโตเกียว 2020 โอลิมปิกหนที่ 4 ก็อาจจะถึงเวลาของเจ้าตัวแล้วเหมือนกันที่จะได้สมหวังบ้าง

ขณะที่แบดมินตัน ยังคงเป็นความหวังของแฟนๆกีฬาไทยเสมอมา หนนี้ถือว่ามีลุ้นอีกเช่นกัน เพราะตัวหลักไปกันครบ "บาส" เดชาพล พัววรานุเคราะห์ และ "ปอป้อ" ทรัพย์สิรี แต้รัตนชัย ถูกจัดให้เป็นคู่มือวาง 3 ของรายการ หากไม่พลิกโผ พลาดให้กับมือรองบ่อน มีโอกาสเข้าไปถึงรอบตัดเชือกเป็นอย่างน้อย และหากท็อปฟอร์มก็อาจหยิบเหรียญใดเหรียญหนึ่งได้เลย

นอกจากนี้ยังได้ลุ้นอีกจาก "เมย์" รัชนก อินทนนท์ ในประเภทหญิงเดี่ยว ซึ่งเจ้าตัวก็พร้อมสร้างเซอร์ไพรส์ได้เสมอเช่นกัน อย่างที่เคยทำให้เแฟนกีฬาไทยได้เห็นและมีความสุขเสมอมาตั้งแต่ยังเป็นดาวรุ่ง โดย "เมย์" ถูกจัดให้เป็นมือวางอันดับ 5 ในประเภทหญิงเดี่ยว

ขณะที่กอล์ฟ ก็มีลุ้นจาก 2 โปรสาว "โปรเหมียว" ปภังกร ธวัชธนกิจ มือ 12 ของโลก เจ้าของแชมป์เมเจอร์ เอเอ็นเอ อินสไปเรชัน เมเจอร์ใหญ่เมื่อต้นเดือนเม.ย.2021 รวมถึง "โปรเม" เอรียา จุฑานุกาล มือ 21 ของโลก ที่เรียกความมั่นใจกลับมาหลังคว้าแชมป์ฮอนด้า แอลพีจีเอ ไทยแลนด์ 2021 เมื่อเดือนพ.ค. โดยทั้งคู่กำลังอยู่ในช่วงมั่นใจ ดังนั้นก็เป็นไปได้เช่นกัน หากเล่นอยู่ในเกมของตัวเอง แฟนๆอาจได้เห็นเหรียญโอลิมปิกในกีฬา
กอล์ฟ

สำหรับกีฬาโอลิมปิก นี่คือมหกรรมกีฬาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก 4 ปี มีครั้งเดียว แน่นอนว่าแค่การที่แฟนๆชาวไทยได้เห็นนักกีฬาแต่ละคนมีชื่อผ่านเข้าร่วมชิงชัยในรอบสุดท้ายได้ นับว่าเป็นสิ่งที่น่าภาคภูมิใจมากๆแล้ว

อย่างไรก็ตามปฏิเสธไม่ได้จริงๆว่า ในเวทีโอลิมปิกเกมส์นั้น ในฐานะกองเชียร์ เราก็ทุกคนต่างก็พร้อมช่วยลุ้นช่วยเชียร์ ส่งแรงใจให้ทัพนักกีฬาไทยของเราเข้าไปได้ไกลที่สุด ไกลถึงความสำเร็จอย่างที่ทุกๆคนคาดหวัง เพื่อสานและสร้างตำนานบทใหม่ใน "โตเกียว 2020"

สรุปรายชื่อ 42 นักกีฬาไทยลุยโอลิมปิก

ยิงเป้าบิน 3 คน : เศวต เศรษฐาภรณ์ (แทร็ปชาย), สุธิยา จิวเฉลิมมิตร (สกีตหญิง) และ อิศราภา อิ่มประเสริฐสุข (สกีตหญิง)

เรือใบ 1 คน : กมลวรรณ จันทร์ยิ้ม (เลเซอร์ เรเดียลหญิง)

วินด์เซิร์ฟ 2 คน : ศิริพร แก้วดวงงาม (อาร์เอสเอ็กซ์หญิง) และ ณัฐพงษ์ โพธิ์นพรัตน์ (อาร์เอสเอ็กซ์ชาย)

จักรยาน 2 คน : จุฑาธิป มณีพันธุ์ (ประเภทถนนหญิง) และ ชุติกาญจน์ กิจวานิชเสถียร (บีเอ็มเอ็กซ์เรซซิ่งหญิง)

ยิงปืน 3 คน : อิศรานุอุดม ภูริหิรัญพัชร (ปืนสั้นยิงเร็ว 25 เมตรชาย), ณภัสวรรณ หย่างไพบูลย์ (ปืนสั้นสตรี 25 เมตรหญิง) และ ธันยพร พฤกษากร
(ปืนสั้นสตรี 25 เมตรหญิง)

ขี่ม้า 3 คน : อาริย์ณัฏฐา ชวตานนท์, กรธวัช สำราญ และ วีรภัฎ ปิฏกานนท์ (ทีมอีเวนท์ติ้ง 3 คน)

เทควันโด 2 คน : พาณิภัค วงศ์พัฒนกิจ เทควันโด (รุ่น 49 กิโลกรัมหญิง) และ รามณรงค์ เสวกวิหารี เทควันโด รุ่น 58 กิโลกรัมชาย

มวยสากล 5 คน : ใบสน มณีก้อน (รุ่น 69 กิโลกรัมหญิง), ธิติสรรค์ ปั้นโหมด (รุ่น 52 กิโลกรัมชาย) ถอนตัวเพราะเจ็บ, สุดาพร สีสอนดี (รุ่น 60
กิโลกรัมหญิง), ฉัตร์ชัยเดชา บุตรดี (รุ่น 57 กิโลกรัมชาย) และ จุฑามาศ จิตรพงศ์ (รุ่น 51 กิโลกรัมหญิง)

กรีฑา 2 คน : คีริน ตันติเวทย์ (วิ่ง 10,000 เมตรชาย) และ สุเบญรัตน์ อินแสง (ขว้างจักรหญิง)

เทเบิลเทนนิส 2 คน : สุธาสินี เสวตรบุตร (หญิงเดี่ยว) และ อรวรรณ พาระนัง (หญิงเดี่ยว)

เรือพาย 3 คน : อรสา เที่ยงกระโทก (เรือแคนู 1 คนหญิง ระยะ 200 เมตร) และ ศิวกร วงศ์พิณ กับ นวมินทร์ ดีน้อย (เรือกรรเชียง 2 ชายพายคู่ รุ่นไล
ท์เวท)

แบดมินตัน 7 คน : รัชนก อินทนนท์ (หญิงเดี่ยว), บุศนันทน์ อึ๊งบำรุงพันธ์ (หญิงเดี่ยว), กันตภณ หวังเจริญ (ชายเดี่ยว), จงกลพรรณ กิติธารากุล กับ
รวินดา ประจงใจ (หญิงคู่) และ เดชาพล พัววรานุเคราะห์ กับ ทรัพย์สิรี แต้รัตนชัย (คู่ผสม)

ยูโด 1 คน : กชกร วรสีหะ (รุ่น 52 กิโลกรัมหญิง)

กอลฟ์ 4 คน : กัญจน์ เจริญกุล (กอล์ฟชาย), อติวิชญ์ เจนวัฒนานนท์ (กอล์ฟชาย), เอรียา จุฑานุกาล (กอล์ฟหญิง) และ ปภังกร ธวัชธนกิจ (กอล์ฟ
หญิง)

ว่ายน้ำ 2 คน : เจนจิรา ศรีสอาด (ฟรีสไตล์ 50 และ 100 เมตรหญิง) และ นวพรรษ วงค์เจริญ (ผีเสื้อ 100 และ 200 เมตรหญิง)